สัมภาษณ์
บทความสัมภาษณ์
ผู้สัมภาษณ์ : สวัสดีครับ วันนี้เวฟก็อยู่ที่ Speedy
Grandma ที่เป็น Art Gallery ที่รวบรวมศิลปะ
สุดแหวก แปลกแนวไว้ที่นี่ แล้วก็มีบาร์ด้านหลังด้วย
เอาไว้ให้คนที่มาชมงานแล้วก็ดื่มด่ำกับงานศิลปะต่าง ๆ และเวฟก็อยู่กับ อ.ลี อัญชลี
อนันตวัฒน์ แล้วครับ ที่เป็นเจ้าของที่นี่ สวัสดีครับ
อ.ลี : สวัสดีค่ะ
ผู้สัมภาษณ์ : เวฟรบกวนอาจารย์เล่าที่มาที่ไปของ Art
Gallery แห่งนี้เนี่ย เป็นยังไง
อ.ลี : ก็คือ เปิดตอนปี 2012
ตอนแรกตึกนี้ เรากับเพื่อนของเราจะมาทำเป็น Graphic Studio อยู่ชั้นสอง
ที่นี้ตึกมันใหญ่ ก็เลยหาคนมาหารค่าเช่า พอดีว่าเรารู้จักเพื่อนใหม่เลย
ชาวฝรั่งเศสชื่อโทมัส เมนาด เค้ากำลังจะย้ายมาอยู่เมืองไทย
เราก็เลยชวนเค้ามาอยู่ชั้นสาม เช่าชั้นสามอยู่มั้ย
และชั้นสองก็หาคนอื่นมาอยู่ด้วยเป็นศิลปินสองคน มีองค์กร Non Profit มาอยู่ด้วย
แล้วพอดีว่าพื้นที่ข้างล่างเนี่ย ยังไม่มีคนใช้ ก็เลยงั้นเปิดเป็น Gallery กันดีมั้ย
แล้วก็ลองๆทำกันไป ไม่ได้มีความรู้มาก่อน ว่า Gallery จะต้องทำยังไง
ผู้สัมภาษณ์ :
หลักของการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อให้น่าสนใจใน Art Gallery ควรเป็นอย่างไร?
อ.ลี : เราว่า
เราพูดได้แค่ในส่วนของเราแล้วกันนะที่เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจ ก็คือเราอยากดูงานที่เราอยากดูอะไรงี้
แล้วมันก็อาจจะไม่ได้เป็นงานที่ Traditional มากเท่าไหร่
อะไรงี้ แล้วก็งานอยากให้มันเป็นงานที่สนุกสนาน คนดูแล้วมันไม่เครียดมากไรเงี้ย
ดังนั้นเราก็จะปาร์ตี้ข้างนอกในส่วนที่เป็นบาร์
โดยมากพอมีงานเปิดคนก็จะมาดูงานเสร็จ แล้วก็มากินเบียร์กันต่อข้างนอก
ซึ่งเรามองว่าพื้นที่ส่วนข้างนอกเงี้ย มันเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนได้มาเจอกัน คุยกัน
แล้วก็ทำอะไรร่วมกัน
ผู้สัมภาษณ์ :
การเกิดขึ้นของ Art Gallery ที่มีอยู่มากมายในเจริญกรุงอะไรคือความสำเร็จของการอยู่ได้ของสถานที่เหล่านั้น
อ.ลี : มันก็คนละสไตล์ด้วยมั้ง ของเรามันจะเป็นแบบเลอะ
ๆ เทอะ ๆ ไม่ค่อยเรียบร้อยนิดนึงไรงี้ ของคนอื่นเค้าก็ค่อนข้างจะ Proper แหละ
ของเรา เราคิดว่ามันมีการจัดการแบบไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่อยู่เงี้ย ซึ่งจริง ๆ
มันก็อาจจะไม่ใช่ข้อดีมาก
แต่หมายถึงว่าที่นี่มันน่าจะมีบรรยากาศในแง่ของการเชื้อเชิญคนให้เข้าหาได้ง่ายกว่า
ด้วยความที่มันเป็นเฟรนด์ลี่ไรงี้ไง ในส่วนของคนอื่นก็มีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป
กลุ่มลูกค้ามันก็จะแตกต่างกันออกไปแต่โดยมากถ้าคนที่ชอบศิลปะก็จะอยากดูให้ครบๆ
หลากหลายสไตล์ประมาณนั้น
ผู้สัมภาษณ์ : Art Gallery สามารถแสดงบทบาทในการเชื่อมสายใยของชุมชนได้อย่างไร?
อ.ลี : ในฐานะของ Speedy อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่เราย้ายเข้ามาอยู่เนี่ย
แน่นอนว่าเราเป็นคนนอกอยู่แล้ว อยู่ ๆเข้ามา เค้าก็จะว่างงๆ
ว่าทำไมทุกเดือนถึงจะต้องมีปาร์ตี้ คนมาเยอะ เสียงดังนู่นนี่ ซึ่งเราก็รับรู้
เกรงใจเค้าเหมือนกัน ก็จะหาวิธีมาตลอดว่าแบบถ้ามากินเหล้าดูดบุหรี่หน้าร้านเงี้ย
เราก็ต้องช่วยกันดูแล เก็บกวาดให้เค้า เพราะว่าคนก็จะล้นออกไปข้างนอกไรเงี้ย
เราก็ต้องพยายามบอกคนที่มา ว่าช่วยเกรงใจกันด้วย
เพราะว่ามันไม่ใช่พื้นที่สาธารณะซะทีเดียว มันยังมีความเป็นส่วนบุคคลอยู่ไรงี้
ซึ่งอย่างเราพอดีว่าอยู่ที่นี่มาหกปีแล้วเนี่ย
มันก็ทำให้่เรารู้จักคนแถวนี้คือคุยกันตลอดนั่นนี่
บางทีก็นั่งกินข้าวกินเบียร์กับคนอื่น ก็จะรู้จักกัน จนเค้ารู้สึกว่า
อ๋ออันนี้มันคือ Gallery มีงานแสดงศิลปะจากตอนแรกที่เค้าไม่รู้เลยเงี้ย
ว่ามันคืออะไร แต่ทีนี้เราก็เชื่อว่าในแง่ความเป็นคนไทย บางคนก็อาจจะไม่ได้ Happy มาก
แต่เค้าก็รู้สึกว่าเค้าทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่
แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะทำไงเหมือนกัน เพราะเราอยู่ที่ได้ด้วยเพราะค่าเช่ามันถูก
และยิ่งตอนนี้ในส่วนของ Gallery เราไม่ต้องเสียค่าเช่าแล้วให้กับโทมัส
เพียงแต่ว่าเค้าอยากให้เราทำ Gallery ต่อไป รันโปรแกรมต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ
และในส่วนของ Speedy เราก็พยายามจะให้มันมี Graphite ภาพบนกำแพง
อันนั้นเราก็จะเชิญศิลปินว่าสนใจ Paint กำแพงมั้ย อะไรแบบนี้
อย่างตรงร้านขายข้าวก็เป็นศิลปินออสเตรเลีย เราชวนมาตั้งโปรเจคว่า เออเนี่ยให้ชวนเด็กๆแถวเนี้ยที่อยู่ีในชุมชนมาวาดรูปกันก่อน
ศิลปินแค่เอารูปตรงนั้นไป Paint บนกำแพง หรือก่อนหน้านี้ก็จะมีวันลอยกระทง
ทำกระทงกับเด็กแถวๆนี้แล้วก็ไปลอยกระทงด้วยกัน หรือบางทีถ้าว่างๆ ก็จะชวนเด็ก ๆ ขึ้นไปวาดรูปนั่งเล่นด้วยกัน
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเรามีสมาชิกอยู่ที่นี่เยอะมันก็เลยทำงานได้
ตอนนี้เราก็เหลือพื้นที่เฉพาะข้างล่างนี้
แต่ก่อนชั้นสองเป็นออฟฟิศและก็เป็นพื้นที่นั่งเล่น
แต่โทมัสเค้าก็เปลี่ยนเป็นสถานที่อยู่
ผู้สัมภาษณ์ :
ประเด็นทางสังคมใดที่ Art Gallery สามารถช่วยในการเปิดสู่สาธารณะ?
อ.ลี : ไม่ค่อยนะ หมายถึง เอาจริง ๆ เราก็ไม่ค่อยแน่ใจ
เพราะว่าเอาเข้าจริง ๆ คนแถวนี้เค้าก็ไม่ค่อยได้เดินมาดูงานเท่าไหร่
เราก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ดีเท่าไหร่นัก บางทีช่วงแรก ๆ ก็อาจจะมีเชิญเค้ามาดูบ้าง
แต่หลังๆ มันก็พูดกันแบบ Realistic ก็กึ่ง ๆต่างคนต่างอยู่
ดังนั้นเราจะไม่พูดให้มันสวยหรูว่าแบบมันช่วยนำประเด็นสู่สังคมอะไรได้อะนะ
ยกเว้นเฉพาะประเด็นมันไปสู่ก็ได้แค่กลุ่มคนที่มาดูงานศิลปะมากกว่า ถ้าสาธารณะเลย
เราคิดว่ามันยังยากอยู่
ด้วย Space เรามันไม่ใช่ Space ที่มันเป็นจุดสนใจต่อสาธณะอะไรขนาดนั้น
ผู้สัมภาษณ์ :
ทิศทาง Art Gallery ยุคใหม่ควรเป็นอย่างไร? เพื่อตอบสนองเยาวชนรุ่นใหม่ๆ
อ.ลี : เราคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องมีทิศทางเดียว
แต่เรารู้สึกว่ามันมีความจำเป็นที่หลากลายมากกว่าในแง่ที่ว่า โอเคมันมี Gallery
ที่มันเป็น White Wall แบบขาวสะอาดอะไรนู่นนี่
ซึ่งมันก็เป็นแนวทางที่ดี มี Gallery Commercial มี Gallery
ทีมันมีความ Professional ในการลงทุนทำโชว์มาก ๆ มันก็ดี อย่าง Speedy
เงี้ยมันไม่ค่อยมีทุนเยอะ แต่เรามองว่าเป็นไอเดียที่ดี
ให้เห็นว่าจริง ๆ คือคุณไม่มีตังค์ แต่คุณก็พยายามที่จะสร้างพื้นที่อะไรขึ้นมาได้
อย่างตอนนี้มันก็จะมี Gallery ของเด็กของธัญบุรี เค้าทำ Gallery
กันเองขึ้นมา เช่าห้องกันเล็ก ๆ แล้วก็ลงขันกันเอง
คือเรารู้สึกว่าเออ มันแค่ทิศทางที่ดีคือมันอาจจะต้องมีหลายทิศทางมากกว่า
มันไม่ใช่มีแค่ทิศทางเดียว โชว์ความหลากหลาย
เราคิดว่ามันไม่ควรที่จะต้องมีอะไรที่ตายตัวอะ
เรารู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่แต่ละเมืองต้องมีคือมันต้องมีความหลากหลายมากพอไม่ว่าจะในระดับไหน
เราคิดว่าเราเน้นเรื่องความหลากลาย มันไม่มีสิ่งใดที่ถูกต้องที่สุด
เราไม่ได้บอกว่าของเราถูกต้องที่สุด แต่เพียงเราโชว์ว่ามันก็มีแบบนี้ได้
สรุปข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์
Art Gallery ที่ดีอาจจะไม่ได้เกิดจากอะไรที่ตายตัว บางที่บางคนก็อาจจะมีสไตล์ของกันและกันที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความแตกต่างเหล่านั้นมันคือเสน่ห์ของตัวมันเอง มันคือการดึงดูดผู้คนที่มีความชื่นชอบที่ไม่เหมือนกัน จนทำให้ Art Gallery เหล่านั้นเป็นที่โดดเด่นและน่าสนใจในแบบที่ผู้คนชื่นชอบ
ผู้ให้สัมภาษณ์ อาจารย์ ลี อัญชลี อนันตวัฒน์ สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เมื่อเวลา 17 : 45 น.

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 4.0 International License.